
![]() |
ประกาศห้ามสูบและซื้อขายฝิ่นในรัชกาลที่ ๓
ประกาศห้ามสูบและซื้อขายฝิ่นในรัชกาลที่ ๓ *********** “ด้วยเจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม รับพระราชโองการ ใส่เกล้าใส่กระหม่อม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสั่งว่า ตั้งแต่เสด็จขึ้นราชาภิเศกเสวยราชสมบัติ ตั้งพระทัยจะบำรุงพระบวรพุทธศาสนา รักษาแผ่นดิน ปกครองพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และราษฎรลูกค้าพาณิช จะให้ทำมาหากินปราศจากโทษ จะให้มีประโยชน์ทรัพย์สินอยู่เย็นเป็นสุข ทั่วไป โดยพระทัยตั้งต่อพระโพธิญาณ กอร์ปไปด้วยพระมหากรุณาแก่สรรพสัตว์เป็นอันมาก ทรงพระราชดำริเห็นว่า คนสูบฝิ่นเป็นเสี้ยนหนามพระพุทธศาสนา ให้แผ่นดินจุลาจลต่าง ๆ ฝิ่นเป็นของชั่วห้ามปรามสืบต่อมาทุกแผ่นดิน โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มิพระราชบริหาร บัญญัติแจกประกาศไปแต่ก่อน ห้ามมิให้ผู้ใด ๆ ซื้อฝิ่นขายฝิ่น ฝิ่นสุกฝิ่นดิบของผู้ใดมีให้เอามาส่งไว้ในพระคลังในซ้าย ให้สิ้นเชิงกว่าจะผ่อนเอาออกไปขายเสียได้นอกประเทศ อย่าให้เอาฝิ่นไว้กับบ้านเรือน เรงร้าน เรือแพลอบลักซื้อขายแก่กัน ถ้ามิฟังมีผู้จับได้ ให้เอาฝิ่นตั้งปรับไหมเจ้าของฝิ่น ๑๐ ต่อ ฝิ่นที่จับได้นั้น โปรดให้เอาไปขายเสียนอกประเทศ ได้ราคาเท่าใด ก็ให้หักเงินพินัยลงให้เจ้าของฝิ่น ให้ข้าราชการตั้งกองปรับไหม โดยพระทัยจะทรมานคนโลภ ที่ซ่อนฝิ่นไว้ซื้อขาย ให้เสียทรัพย์ค่าปรับไหม จะได้เข็ดหลาบ แลคนที่เห็นแก่แผ่นดิน มีกตัญญูรู้พระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัว เอาฝิ่นมาส่งฝากไว้ตามกฏหมายพระราชบัญญัติก็มีที่เป็นคนพาลสันดานโลภ จะเอากำไรในการซื้อฝิ่นขายฝิ่น ก็ยังลักลอบซื้อขายอยู่ จนมีผู้จับได้ต้องปรับไหมก็มากหลายราย แต่ให้ตั้งกองจับปรับไหมมา ก็นานกว่าสิบปีแล้ว ก็ยังลอบลักรับซื้อ เอาฝิ่นเข้ามาขาย มากขึ้นกว่าแต่ก่อน คนสูบฝิ่นกินฝิ่นก็ชุกชุมขึ้น หาเข็ดหลาบละเว้นเสียไม่ สมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัว จึ่งทรงพระปรารภจะระงับตัดรอนฝิ่น จะไม่ให้มีอยู่ในแผ่นดิน และฝิ่นนี้ก็ไม่มีพืชผลต้นลำอยู่ในแคว้นขอบขัณฑเสมา ฝิ่นนี้มาแต่นานาประเทศ ไม่มีคนรับรองซื้อหามาแล้วฝิ่นก็จะสิ้น คนที่เคยสูบฝิ่นก็จะมิได้คบพากันสูบฝิ่นกินฝิ่นต่อไป แลทุกวันนี้ลูกค้าพาณิชในกรุงเทพมหานครที่มีสำเภา เรือเสาเรือใบไปค้าขายนอกประเทศ ยังซื้อฝิ่นซ่อนเร้นเข้ามาซื้อขายแก่กัน อีกอย่างหนึ่งลูกค้านอกประเทศรู้ว่าลูกค้าในแว่นแคว้นกรุงเทพมหานคร จะลอบซื้อขายฝิ่นกันได้อยู่ จะบันทุกฝิ่นมาลอบซื้อลอบขายอยู่เขตปลายแดน มีผู้รับซื้อส่งต่อกันเข้ามา ฝิ่นจึงมีเสมออยู่ในแผ่นดินไม่ขาด แล้วการลักลอบซื้อขายฝิ่นกันดังนี้ ก็ซื้อขายกันเป็นเงินทั้งสิ้น เงินทองในแผ่นดินออกไปนอกประเทศเพราะค้าฝิ่นก็โดยมาก จำจะห้ามปรามจับกุม ทำให้เข็ดหลาบจงได้ จึงมีราชโองการดำรัสสั่งเจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม ให้สืบสวนคอยสกัดจับลูกค้าเจ้าของฝิ่น และผู้รับซื้อฝิ่นครั้น ณ เดือน ๔ ปีจอ สัมฤทธิศก ๑ เจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม ออกไปส่งกองทัพ ณ ทะเล รู้ความว่า อ้ายจีนเรือพายเข้ามาจอดขายฝิ่นอยู่ที่สมมุขสองลำ บอกขึ้นมากราบบังคมทูลพระกรุณาทางทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระยาณรงค์ ฤทธิโกศา พระยาวิเศษศักดิ์ดา คุมทหารปืนเมืองสมุทรปราการ ลงเรือรบออกไปติดตามจับจีนเรือพายได้ฝิ่น ๒๓ ปัก อ้ายจีนเรือพายให้การว่า แวะเข้าบ้านแหลมขายฝิ่นให้ผู้มีชื่อที่บ้านแหลม ๘ ปัก จึงโปรดให้พระมหาเทพออกไปชำระจับได้อ้ายจีนผู้รับซื้อเป็นหลายรายซัดต่อกันไป ได้ให้ข้าหลวงแยกกันไปชำระพวกซื้อฝิ่นตามหัวเมืองฝ่ายทะเลอยู่แล้ว แต่ในกรุงเทพพระมหานคร หัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือทั้งปวง ไทยจีนลูกค้าพาณชก็ยังเอาฝิ่นซ่อนเร้นไว้แอบซื้อขายแก่กันมีอยู่โดยมาก แต่ก่อนโปรดให้ข้าราชการตั้งกองชำระ แต่งคนสืบเสาะจับกุมเอาฝิ่นมาตั้งปรับไหม เป็นแต่ข้าราชการผู้น้อยชำระ สืบสาวจับฝิ่นหาได้ฝิ่นสิ้นไม่ ครั้งนี้สมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัวจะทรงชำระ จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมดำรัสสั่งตั้งแต่พระบรมวงศานุวงศ์ มีกรมหลวงรักษ์รณเรศ เป็นประธาน และเจ้าพระยาบดินทร์เดชาสมุหนายก เจ้าพระยาคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม แลเสนาบดี ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้มิกตัญญูรู้พระเดชพระคุณช่วยรักษาแผ่นดินพร้อมกันให้ช่วยกันสืบสาวชำระเอาตัวเจ้าของฝิ่นให้สิ้นจงได้ ถ้าชำระได้ตัวผู้ที่เอาฝิ่นไว้ ก็ให้มีโทษหลวงโทษปรับไหม ให้เข็ดหลาบ ทั้งจะให้ผู้อื่นกลัวเกรงพระราชอาญาอาณาจักรอย่าให้บังอาจซื้อฝิ่นขายฝิ่นต่อไปอีก ฝิ่นไม่มีแล้วก็จะได้สิ้นเสี้ยนหนามแผ่นดินไปอย่างหนึ่ง แต่ยังทรงพระอาลัยเจ้าของภาษีเจ้าสัวลูกค้าวาณิช ที่ได้พึ่งพระบารมีอาศรัยแผ่นดินค้าขายหากินมีความสุขมา จะมีฝิ่นอยู่ก่อนแล้ว จะเอาฝิ่นมาบอกกล่าวก็กลัวจะได้ความผิด และอายอัปยศจะสู้ปกปิดซุ่มซ่อนฝิ่นไว้ โดยใจประมาทก็จะหาพ้นไม่ คงจะชำระสืบสาวเอาได้ก็จะต้องพระราชอาญาได้ความพินาศฉิบหายยับเยินสูญสิ้นชื่อเสียงไปเสียเปล่า สมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาเมตตาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นอันมาก โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจะให้โอกาสแก่ผู้ซึ่งฝิ่นอยู่นั้น ให้เอาฝิ่นมาลุแก่โทษ จะยกโทษหลวงโทษปรับไหมพระราชทานให้ เหมือนที่ครั้งปีระกา นพศก ๓ โจรกำเริบลักช้างม้าโคกระบือ ปล้นสดมภ์ย่องเบาทรัพย์สิ่งของชุกชุม จะให้ตั้งกองจับโจรก็คงได้ตัว แต่จะต้องทำโทษประหารชีวิต เฆียนตีจำใส่คุกไว้ตามกฎหมาย ทรงเห็นว่าโจรทั้งนี้เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะต้องทุกข์โทษชั่วนี้ชั่วหน้า จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หายประกาศป่าวร้องราษฎรผู้ใดกระทำโจรกรรมหยาบช้ามาแต่ก่อนให้มาลุแก่โทษบอกความจริงกับแม่กองผู้ชำระ พวกโจรทั้งปวงรู้สึกโทษตัวกลัวพระราชอาญา พากันเข้ามาลุแก่โทษเป็นอันมาก โปรดให้ยกโทษพระราชทานพระราชโอวาทสั่งสอนให้ได้สติรู้สึกตัวจะได้ละเสียซึ่งความชั่วอันกระทำมาแต่หลัง ถ้ากลับตัวได้ตามคำโบราณว่าต้นคดปลายตรง ก็คงจะเอาความสุขได้ ในชั่วนี้แลภายหน้า โดยพระทัยกอร์ปไปด้วยพระมหากรุณรเมตตาจะทรงสงเคราะห์ไพร่ฟ้าประชากรให้ได้ความสุขต่อไป แลผู้ซึ่งมีฝิ่นอยู่นั้นก็เหมือนกัน ด้วยแต่ก่อนได้ประมาทหลงเกินไปแล้ว รู้สึกโทษตัวกลัวความผิด ก็ให้เอาฝิ่นที่มีอยู่มากน้อยเท่าใด ให้เอาฝิ่นมาลุแก่โทษ ถ้าผู้ใดเอาฝิ่นมาลุแก่โทษสิ้นโดยดีแล้ว ถึงว่าแต่ก่อนจะซื้อฝิ่นขายฝิ่นมามากน้อยประการใด ก็โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยกโทษพระราชทานให้ทั้งโทษหลวงโทษปรับไหม หาให้มีกับผู้ที่มาลุแก่โทษไม่ สมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัวขอเสียอย่างเดียวแต่อย่าให้ซื้อฝิ่นขาบฝิ่นต่อไปแลฝาง พริกไทย นอรมาศ งาช้าง เร่ว กระวาน เป็นของต้นห้ามมาแต่ก่อนก็ได้โปรดให้ค้าขายกับของอื่น บรรดาของสินค้ามีอยู่ในแผ่นดิน ให้ซื้อขายตามสมัครปรารถนา หาให้ห้ามปรามไม่ จนข้าวเกลือเป็นของสำหรับพระนคร ก็ได้โปรดให้ค้าขายกับของอื่น บรรดาของสินค้ามีอยู่ในแผ่นดิน ให้ซื้อขายตามสมัครปรารถนา หาให้ห้ามปรามไม่ จนข้าวเกลือเป็นของสำหรับพระนครก็ได้ทรงผ่อนปรนให้ซื้อขาย โดยพระทัยปราถนาจะให้เจ้าภาษีเจ้าสัวลูกค้าวานิชพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มีทรัพย์สินบริบูรณ์มั่งคั่งเป็นเศรษฐีขึ้น จะได้งามพระนครไปภายหน้า และฝิ่นไม่เป็นของสินค้า ซึ่งจะเอาฝิ่นเป็นสินค้าซื้อขายแก่กันนั้นหาชอบไม่ จะทรงห้ามเสียให้เด็ดขาด จึง โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมหลวงรักษ์รณเรศ เจ้าพระยาบดินทร์เดชาที่สมุหนายก เจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม เสนาบดีผู้ใหญ่เป็นแม่กองพร้อมด้วยข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ตั้งกองชำระฝิ่นที่กรุงเทพพระมหานคร โปรดให้เจ้าพระยาพลเทพกับพระมหาเทพออกไปตั้งกองสืบสาวชำระฝิ่น ณ เมือง เพชรบุรี เมืองสมุทรสงคราม เมืองสาครบุรี เมืองนครชัยศรี ให้พระยามหาอำมาตย์ พระยาวิสูทโกษา จมื่นไชยพร จมื่นอินทรามาตย์ ออกไปตั้งชำระฝิ่น ณ เมืองชลบุรี เมืองฉะเชิงเทรา เมืองปราจีน เมืองนครนายก ได้โปรดให้มิตราออกไปถึงเจ้าพระยายมราช พระยาศรีพิพัฒน์ ให้ชำระฝิ่น ณ เมืองสงขลา แลเมืองถลาง เมืองพังงา เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองตะกั่วป่าก็ได้โปรดให้พระยาไชยาออกไปชำระอยู่แล้ว ถ้ากองชำระ ณ กรุงเทพพระมหานคร ชำระไทยจีนมีชื่อเจ้าของฝิ่นเกี่ยวข้องออกไป ณ หัวเมือง ก็จะมีตราออกไปให้ข้าหลวงจับส่งเข้ามาชำระไต่สวน ณ กรุงเทพพระมหานคร ถ้ากองชำระ ณ หัวเมืองชำระเกี่ยวข้องถึงไทยจีน ณกรุงเทพพระมหานคร ก็ให้ข้าหลวงบอกหนังสือเข้ามาจะเอาตัวผู้ซึ่งเกี่ยวข้องส่งออกไปชำระ ณ หัวเมือง ให้ข้าหลวงชำระ ๆ สืบสาวบรรจบถึงกันกับกองชำระ ณ กรุงเทพพระมหานคร สุดแต่จะให้ชำระสืบเอาฝิ่นให้สิ้น ถ้าผู้ใด ๆ ซึ่งอยู่ในแขวงจังหวัดกรุงเทพพระมหานครมีฝิ่นอยู่มากน้อยเท่าใด ให้เอาฝิ่นมาลุแก่โทษให้สิ้น ถ้าผู้ใดมีฝิ่นอยู่มิได้เอาฝิ่นเข้ามาลุแก่โทษซุ่มซ่อนฝิ่นไว้ ปรารถนาจะค้าขายหากิน ในการซื้อฝิ่นขายฝิ่น ไม่กลัวเกรงพระราชอาญาก็เป็นอกุศลผลกรรมจะให้บังเกิดความวินาศฉิบหาย จะทรงพระราชดำริให้สืบสาวชำระได้ตัวผู้ที่มีฝิ่นพิจารณาเป็นสัจจ์แล้ว จะให้กระทำโทษลงพระราชอาญาโดยสาหัส ควรจะประหารชีวิตก็จะให้ประหารชีวิตเสีย อย่าให้มีผู้เอาเยี่ยงอย่างซื้อฝิ่นขายฝิ่นอยู่ในแผ่นดินต่อไป ให้เจ้าเมืองปลัดยกกระบัตรกรมการผู้รักษาเมืองเอาตราสำหรับที่ปิดหมายแจกไปไว้กับนายอำเภอ กำนัน พัน นายบ้าน ราษฎรไทยจีนลูกค้าวานิชซึ่งตั้งบ้าน ตั้งเรือนตึกโรงร้านอยู่ เรือแพให้สิ้นแขวงอำเภอ ให้จงรู้ทั่วอย่าให้ขาดได้ตามรับสั่ง หมายมา ณ วันพฤหัสบดี เดือน หก ขึ้น ห้า ค่ำ จุลศักราช ๑๒๐๑ ปีกุน * เอกศก ฯะ”
เมื่อประกาศพระราชโองการออกไปตามหัวเมืองแล้ว ปรากฏว่าในพระนครและหัวเมืองใกล้เคียงการเก็บกัก การซื้อ การขายฝิ่นเป็นของต้องห้าม แต่ตามหัวเมืองห่างไกลยังมีการลอบลักซื้อขายกันอยู่เนือง ๆ เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณจึงในปี พุทธศักราช ๒๓๘๒ ในพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๓ ซึ่งเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เรียบเรียงไว้ว่า “ครั้นเดือน ๖ ข้างขึ้น โปรดให้จมื่นราชามาตย์ จมื่นรักษพิมาร หลวงเสน่หรักษา ไปชำระฝิ่นหัวเมืองฝ่ายตะวันตก ตั้งแต่เมืองปรานตลอดไปถึงเมืองระนอง ฝ่ายตะวันตก ตั้งแต่เมืองตะกั่วป่าตลอดไปถึงเมืองถลาง ได้ฝิ่นดิบ ๓๗๐๐ เศษ ฝิ่นสุก ๒ หาบเศษส่งเข้ามาเผาเสียที่หน้าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์”
การเผาฝิ่นครั้งนั้น โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดการเป็นพิธีใหญ่มีการบวงสรวงประกาศแจ้งเทพาอารักษ์ ขออำนาจคุ้มครองปกป้องรักษาพระราช อาณาจักร ความประกาศดังนี้
“ว่านโม ๓ จบ แล้วว่า อิติสิโส จนจบ สวากขาโต จนจบ แล้วจึงตั้งอาราธนา ข้าพเจ้าพุทธเจ้า พญาธรรมปรีชา หลวงธรรมสุนทร หลวงเมธาธิบดี ขุนศรีวรโวหาร ราชบัณฑิตยาจารย์ทั้งปวงพร้อมกัน ขอกระทำอัชเฌสนะกิจอาราธนาสัจจาธิษฐาน เฉพาะพระพักตร์พระศรีรัตนไตรยเจ้า ด้วยสมเด็จพระบรมขัติยาธิบดินทรปิ่นประชามหาสมมุติเทวราชพระบาทบพิตรพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระราชศรัทธาโพธาภิรัต หมายมั่นบำเพ็ญพระมหันตมโหฬาราธิการ บารมีมิ่งมกุฎพุทธการกธรรม จำนงพระราชหฤไทยจะให้สำเร็จพระสร้อยสรรเพชญพุทธรัตนอนาวรณญาณพระบวรสันดานนั้นชุ่มชื่นด้วยพระขันติ แลพระเมตตากรุณาคุณ ทรงพระราชประสงค์ที่จะให้เป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่อเนกนิกรราชบรรพสัษย์ ทรงปฏิบัติในเทศกุศลกรรมบททศพิธราชธรรม มอบพระองค์เป็นโยมอุปฐากแก่พระรัตนไตรยเอาพระทัยใส่ในกิจศาสนูปถัมภก ยกย่องพระบวรพุทธศาสนาให้ถาวรวัฒนาการ รุ่งเรืองขึ้นทั้งฝ่ายคันถะธุระแลวิปัสนาธุระ ททรงสร้างพระไตรปิฎก พระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์วิหารอุโปสถรจนาไว้ เป็นที่ไหว้ที่สการบูชา แลทรงถวายนิตยภัตรคิลานะภัตร ไตรจีวร แกพระสงฆ์ทุก ๆ พระอารามตามสมควรมิได้ขาด ทรงพระกรุณาพระราชทานส่วนพระราชกุศล ทั้งปวงนี้ให้ทั่วไปแก่เทพา มนุษย์อินทร์พรหมยมยักษ์ ตั้งแต่อารักษ์เทพยดาขึ้นไป ตลอดถึงภวัคพรหม เบื้องขวานั้นตลอดไปในอนันตจักรวาฬ เบื้องต่ำตลอดจนถึงสัตวือเวจีเทพเจ้าทั้งหลายผู้มีทิพเนตร ทิพโสต จงมีจิตรโสมนัสปราโมชยินดีปรีดา อนุโมทนาส่วนพระราชกุศลที่ทรงพระราชอุทิศเป็นนิจดังนี้ จงทุก ๆ พระองค์ จงบอกกันต่อ ๆ ไปที่ยังไม่ได้อนุโมทนารับเอาส่วนพระราชกุศลผลทานนาทิบารมี บัดนี้ ทรงพระราชดำริกอปรด้วยพระกรุณาคุณ ทรงเห็นว่าข้าราชการและราษฎรชายหญิง ในกรุงนอกกรุงทั่วเขตรแดน กระทำทุจริตคบกันสูบยาฝิ่นสิ้นทรัพย์สิ่งของทองเงินเครื่องอุปโภคบริโภค เสียรูปพรรณสัณฐานจนใช่มิได้ก็มีเป็นอันมาก ทรงพระราชดำริจะให้เป็นหิตานุหิตะประโยชน์ไปในภายภาคหน้า จึงทรงพระกรุณา โปรดฯ ให้เก็บเอายาฝิ่นให้สิ้นเชิง กระทำฌาปนกิจเผาเสีย มิให้ข้าราชการแลราษฎรสูบต่อไปใน เบื้องหน้า จึงทรงพระกรุณาให้ข้าพระพุทธเจ้าอาราธนาอัญเชิญเทพยเจ้าทุกสถาน สัคเคกาเมจรเป ข้าพระบาทขอเชิญเทพยเจ้าอันสถิตย์ในทิพพิมานเมืองสวรรค์ ชั้นฉ้อกามาพจร แลโสฬศมหาพรทั้งสิบหกชั้นฟ้า คิริสิขรตเฏ ขอเชิญทั้งภูมิเทพยดาอันสถิตย์ในยอดคีรี มีพระมเหศร เป็น อาทิ แลเทพยเจ้าอันสิงสถิตย์ในเหวหุบห้วยละหาน อันตลิกเขวิมาเน ขอเชิญทั้งอมรเทพย์ อันสิงสถิตย์ในอากาสัฏฐกะพิมาน ลอยอยู่ในอัมพรวิถีประเทศ ทีเปรฏเฐจคาเม ขอเชิญทั้งเทพยเจ้าอัน สิงสู่อยู่ในขอบเขตรทวีปใหญ่และทวีปน้อยทุกถิ่นฐานบ้านแลนิคมชนบท แลราชธานีบุรีใหญ่น้อยนานา ตรุวนาคหเน ขอเชิญทั้งภูมิเทพยดาอันสิงสถิตย์ในต้นพฤกษาลดาวัลย์อรัญประเทศป่าระหงและ ป่าชัฏ เคหวัตุถุมหิ ขอเชิญทั้งอารักษ์เทพยเจ้าอันสถิตย์ในเคหสถาน เป็นต้น คือ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และเทพยดาอันรักษาเสวตรบวรฉัตร และเทพยเจ้าอันบริรักษ์ในจังหวัดพระราชนิเวศน์มหาสถาน เขตเต ขอเชิญทั้งอารักษ์เทพยเจ้าอันบริรักษ์อภิบาลในที่นาแลที่สวน ขอเชิญเทพยเจ้าทั้งปวงประชุมชวนกันมาสโมสรสันนิบาต ในประเทศที่นี้ให้พร้อมเพรียงกัน อย่าให้บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในกรุงเทพพระมหานคร และนานาประเทศทั้งปวง ล่วงลักเอายาฝิ่นเข้ามาจำหน่าย ซื้อขายในกรุงเทพพระมหานครนี้เป็นอันขาด ถ้าบุคคลผู้ใดมิได้ถือสัตย์กตัญญูต่อสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว แลฝ่ายพระราชอาณาจักรขืนลอบลักเอายาฝิ่นเข้ามาซื้อขาย ”
|