พระราชประวัติ ร.3 พระราชประวัติ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เป็นพระราชเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าจอมมารดาเรียม (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระอิสริยศักดิ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระศรีสุลาลัย เป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง) เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2330 ณ พระราชวังเดิม กรงธนบุรี
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 สมเด็จพระศรีสุลาลัย
ขณะนั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถยังดำรงพระยศทางขัตติยราชสกุลเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เมื่อพระชนมพรรษาครบปีที่จะทรงผนวช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช โปรดเกล้าฯ ให้ทรงผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วได้เสด็จไปประทับจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชสิทธาราม บางกอกใหญ่ พุทธศักราช 2356 เมื่อพระชนมพรรษา 26 พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาขึ้น ทรงกรม ทรงพระนามว่า "พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์" สมเด็จพระรมชนกนาถทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาก โปรดเกล้าฯ ให้ทรงกำกับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระตำรวจ ว่าความฎีกา ซึ่งเป็นราชการที่สำคัญมากในสมัยนั้น นอกจากนั้นยังโปรดเกล้าฯ ให้รับราชการต่างพระเนตรพระกรรณด้วย พระองค์ทรงรับราชการสนองเบื้องพระยุคลบาทสมเด็จพระบรมชนกนาถด้วยความจงรักภักดี มีความหวังดีต่อบ้านเมืองและเมตตาต่อไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ในยามที่เงินแผ่นดินขาดแคลน พระองค์ได้นำเงินส่่วนพระองค์ที่ได้จากการค้าสำเภากับนานาประเทศขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงยกย่องตรัสล้อเรียกว่า "เจ้าสัว" นอกจากนี้ ยังทรงตั้งโรงทานเลี้ยงดูประชาชนที่อัตคัดขัดสน ที่บริเวณหน้าวังท่าพระอันเป็นที่ประทับขณะนั้นด้วย พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตโดยที่ยังมิได้ตรัสมอบหมายการสืบราชสันตติวงศ์ บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการได้ประชุมปรึกษากันและมีสมานฉันท์เป็น "อเนกมหาชนนิกร สโมสรสมมุติ" ให้เชิญเสด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลำดับที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สืบต่อมา ตั้งแต่วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พุทธศักราช 2367 พระสุพรรณบัฎที่เฉลิมพระปรมาภิไธย ซึ่งทูลเกล้าฯ ถวายในวันทรงรับพระบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พุทธศักราช 2367 ก็ยังคงใช้พระปรมาภิไธยเช่นเดียวกับรัชการลที่ 1 และที่ 2 โดยราษฎรทั่วไปไม่ออกพระนามพระมหากษัตริย์ แต่เรียกว่า "พระพุทธเจ้าอยู่หัว" ต่อมาเมื่อพุทธศักราช 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงทรงทำพิธีจารึกพระสุพรรณบัฎถวายพระปรมภิไธยใหม่ว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมาทิวรเสฎฐ มหาเจษฎาบดินทร์ สยามมินทรวโรดม บรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว" ต่อมาพุทธศักราช 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ถวายพระนามใหม่เป็น "พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทร มหาเจษฎาบดินทร์ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว" พระปรมภิไธยอย่างย่อคือ "พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาเจษฎาบดินทร์ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว" อักษรพระปรมาภิไธยย่อ คือ "จปร." หมายถึง "พระบาทสมเด็จพระปรมินทร์ มหาเจษฎาบดินทร์ บรมราชาธิราช" เมื่อพุทธศักราช 2538 มีพระราชาคณะจาก 15 วัด ได้มีลิขิตเสนอให้ถวายพระราชสมัญญาแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า "ธรรมิกมหาราช" ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ออกพระนามพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น 3 แบบ คือ "พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว" , "พระมหาเจษฎาราชเจ้า" และ "พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า" อันมีความหมายว่า "พระมหาราชเจ้าผู้มีพระทัยตั้งมั่นในการบำเพ็ญพระราชกิจ" พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสรรคต ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานองค์ตะวันออก เมื่อวันพุธที่ 2 เมษายน พุทธศักราช 2394 สิริรวมพระชนมพรรษา 63 พรรษา 2 วัน เวลาที่ครองราชย์ 26 ปี 8 เดือน 12 วัน ทรงมีพระราชโอรส 22 พระองค์ พระราชธิดา 29 พระองค์ รวม 51 พระองค์ จากเจ้าจอมมารดา 35 ท่าน ในจำนวนนี้ประสูติก่อนบรมราชาภิเษก 38 พระองค์ และเมื่อบรมราชาภิเษกแล้ว 13 พระองค์ มิได้ทรงสถาปนาเจ้าจอมท่านใดเป็นพระมเหสี พระราชโอรสพระราชธิดา จึงดำรงพระอิสริยฐานันดรศักดิ์เป็น "พระองค์เจ้า" มีสายราชสกุลที่สืบเนื่องมา 13 มหาสาขา ได้แก่ ศิริวงศ์ โกเมน คเนจร งอนรถ ลดาวัลย์ ชุมสาย ปิยากร อุไรพงศ์ อรณพ ลำยอง สุบรรณ สิงหรา ชมพูนุท พระราชดำรัสสุดท้ายเมื่อก่อนเสด็จสวรรคต ที่ทำให้คนไทยในยุคสืบต่อมาสมควรต้องระลึกถึงไตร่ตรองเสมอเกี่ยวกับบ้านเมือง แม้เวลาจะล่วงแล้ว 153 ปีก็คือ "การศึกสงครามข้างญวน ข้างพม่า ก็เห็นจะไม่มีแล้ว
|